
คัมภีร์โลกทัศน์อสุรา บทที่ 8: เวทมนตร์ และ ศาสตร์แห่งพลัง

ไม่มีใครล่วงรู้ได้ว่า จุดเริ่มต้นของเวทมนตร์มาจากที่ใด...
บางคนบอกว่า มันคือของขวัญจากเหล่าเทพ
บางคนเชื่อว่า มันคือเสียงสะท้อนจากธรรมชาติ
และอีกหลายคน... ก็แค่ใช้มัน โดยไม่เคยตั้งคำถามเลยว่า พลังนั้นคืออะไรกันแน่
~ คำกล่าวของเซรีน หัวหน้าสมาคมผู้ใช้เวท
ทฤษฏีธาตุทั้งหก (Hexa-elementals Theory)
เวทมนตร์ในจักรวรรดิถูกจัดหมวดหมู่ตาม “ทฤษฎีธาตุทั้งหก” ซึ่งเป็นระบบ ที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย ทั้งในสถาบันเวทมนตร์และศาสนจักร แนวคิดนี้เสนอว่า พลังเวททั้งหมดที่มนุษย์สามารถเข้าถึงได้ ล้วนกำเนิดจากกระแสธาตุทั้งหก ได้แก่ ดิน น้ำ ลม ไฟ แสง และความมืด ซึ่งสอดคล้องกับพลังแห่งเทพเจ้าทั้งหกองค์ และพลังงานที่ไหลเวียน อยู่ในโครงสร้างของโลก หลังที่เทพทั้งหกได้สร้างโลกขึ้นมา

🪨 ธาตุดิน (Earth)
มุ่งเน้นพลังแห่งความมั่นคง การเสริมเกราะ และการควบคุมสิ่งที่กำเนิดจากผืนดิน เช่นไม้ หรือพิษ มักใช้ในการเสริมร่างกาย เสริมการคุ้มกัน หรือสร้างความเสียหายในวงกว้าง กับสิ่งที่คงทน เช่นอาคารบ้านเรือน ธาตุดินมีคุณลักษณะในการต่อต้านธาตุลม แต่แพ้ต่อธาตุไฟ
💧 ธาตุน้ำ (Water)
มีความสามารถสูงในด้านการควบคุมสิ่งแวดล้อม การเปลี่ยนสถานะ และการเคลื่อนไหว เวทน้ำเน้นความยืดหยุ่น มากกว่าอำนาจโดยตรง จึงมักถูกใช้ในหมู่ผู้ที่เชี่ยวชาญกลยุทธ์ระยะยาว นอกจากนี้เวทมนตร์น้ำบางสาย ยังใช้ในการเยียวยา รักษา และชะลอการบาดเจ็บได้อีกด้วย ธาตุน้ำมีคุณลักษณะในการต่อต้านธาตุไฟ แต่แพ้ต่อธาตุลม
🔥 ธาตุไฟ (Fire)
เป็นเวทแห่งพลังดิบและการทำลายโดยตรง เน้นความเร็ว ความรุนแรง และการโจมตีต่อเนื่อง โดยไม่เปิดโอกาสให้ศัตรูตอบโต้ ผู้ใช้เวทไฟต้องการการควบคุม อารมณ์อย่างเข้มงวด เพราะพลังธาตุนี้สามารถแผดเผาผู้ใช้เองได้หากไม่ระวัง ธาตุไฟมีคุณลักษณะในการต่อต้านธาตุดิน แต่แพ้ต่อธาตุน้ำ
🌪️ ธาตุลม (Wind)
มุ่งเน้นการเคลื่อนไหว ความเร็ว และเปลี่ยนแปลงของพลังอย่างฉับพลัน ลมเป็นตัวกลางของเสียง และการยิงระยะไกล สามารถใช้ในการส่งเสริมมิตร หรือทำลายศัตรูก็ได้ นอกจากนี้ยังสามารถแสดงออกมาในรูปแบบของ สายฟ้า หรือพายุได้อีกด้วย ธาตุลมมีคุณลักษณะในการต่อต้านธาตุน้ำ แต่แพ้ต่อธาตุดิน
✨ ธาตุแสง (Light)
คือกระแสแห่งการคุ้มครอง ฟื้นฟู และชำระล้าง ถูกจัดให้เป็นเวทมนตร์ “บริสุทธิ์” ที่ศาสนจักรให้การรับรองสูงสุด เป็นสายเวทที่ใช้ในการรักษา เสริมพลัง และต้านทานอำนาจเงามืด เหมาะสำหรับนักบวช เครลิค และผู้ทำหน้าที่คุ้มครองผู้อื่น ธาตุแสงมีคุณลักษณะในการต่อต้าน ธาตุความมืดโดยตรง
🖤 ธาตุความมืด (Dark)
มักเกี่ยวข้องกับการอัญเชิญ คำสาป การควบคุม และพลังของความเป็นไปได้ และความลับ ถึงแม้จะถูกประณามในทางศีลธรรม แต่เวทเงายังเป็นแขนงที่ทรงพลังสูงสุด ในเชิงการก่อกวน เป้าหมายของเวทนี้ไม่ใช่การทำลายทันที แต่การแทรกซึมและบิดเบือน ไม่ให้ฝ่ายตรงข้าม ใช้พลังของตนได้อย่างสมบูรณ์ ธาตุความมืดมีคุณลักษณะในการต่อต้าน ธาตุแสงโดยตรง
หน่วยพลังเวท (Magic Points)
ในบรรดานักเวทและนักวิชาการเวทมนตร์ของจักรวรรดิ มีการใช้งานแนวคิดที่เรียกว่า MP (Magic Potential หรือในบางสำนักเรียกอย่างง่ายว่า Magic Points) เพื่ออธิบายระดับพลังงานเวท ที่บุคคลหนึ่งสามารถดึงออกมาใช้ได้ในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง แนวคิดนี้ไม่ใช่กฎธรรมชาติ ที่พิสูจน์หรือสัมผัสโดยตรงได้อย่างชัดเจน แต่เป็นแบบจำลองที่ใช้ในเชิงเทคนิค เพื่อสื่อสาร และประเมินระหว่างผู้ฝึกเวทด้วยกันเอง
MP มิได้มีหน่วยวัดที่แน่นอนในเชิงสากล แต่เป็น ค่าประมาณ ที่อิงจากการสังเกต ปรากฏการณ์ เช่น ความถี่ในการร่ายเวท ความซับซ้อนของรูปแบบเวทที่บุคคลสามารถควบคุมได้ หรือความเสถียรของสนามพลังรอบตัว มีความเชื่อว่า MP เชื่อมโยงกับ “จิตวิญญาณ” ที่ฝังอยู่ในสิ่งมีชีวิต และสามารถเพิ่มขึ้นได้จากการฝึกฝน การเชื่อมต่อกับอุปกรณ์เวทมนตร์ หรือวัตถุศักดิ์สิทธิ์ได้อีกด้วย
แม้จะไม่สามารถวัด MP ได้โดยตรงในทางกายภาพ นักเวทบางกลุ่มใช้อุปกรณ์ เพื่อสังเกต และตรวจจับค่าบางอย่างของเวทมนตร์ เพื่อคำนวณค่า MP โดยประมาณ ผ่านปฏิกิริยา ของสนามเวทมนตร์รอบตัวผู้ใช้ เช่น การสั่นของผลึก การเปลี่ยนสีของหมึกเวท หรือความร้อนของวงแหวนเวทที่ยังไม่ปลดปล่อยพลัง การประเมินเหล่านี้ไม่ได้แม่นยำ แต่อยู่ในระดับที่มากพอที่จะใช้ในการจัดระดับ หรือวางกลยุทธ์ร่วมกันในสนามรบ
มีทฤษฎีเสนอว่า MP เปรียบเสมือนคลังสำรองทางเวทมนตร์ของบุคคล ซึ่งสามารถใช้หมดได้ชั่วคราว แต่จะฟื้นกลับมาด้วยการพักผ่อน สมาธิ หรือดูดซึมพลังงาน จากแหล่งธรรมชาติ และยังสามารถฟื้นคืนได้จากอาหาร เครื่องดื่ม หรือยาบางชนิด
แม้จะไม่ใช่ระบบสากล แต่แบบจำลอง MP ก็ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง ในกลุ่มผู้ใช้เวทสายปฏิบัติ เพราะช่วยให้สามารถเปรียบเทียบประสิทธิภาพของคาถา ระยะเวลาการร่าย และความสามารถในการรองรับเวทซ้อนทับหลายชนิดในบริบทการเรียน การวิจัย และการประเมินการต่อสู้ในสถานการณ์จริงได้ด้วย
พลังที่ไม่ใช่เวทมนตร์ (Non-Magic Powers)

แม้ว่าระบบเวทมนตร์จะมักถูกโยงกับ “จอมเวท” และ “ศาสตร์เวท” ที่ใช้การร่ายคาถา เป็นรูปธรรม แต่ในความเป็นจริง ผู้ฝึกฝนจำนวนมากที่ไม่ได้เป็นจอมเวทโดยตรง เช่น นักรบ นักธนู หรือมือสังหาร ก็สามารถเข้าถึงพลังเหนือธรรมชาติได้เช่นกัน และทางสมาคมจอมเวทย์ ก็สามารถประเมินความสามารถเหล่านี้ อยู่ภายใต้ระบบการใช้พลังงานเดียวกันที่เรียกว่า “MP” เช่นกัน เพียงแต่การตีความ และวิธีการเข้าถึงแตกต่างออกไปจากเวทมนตร์กระแสหลัก
นักรบที่สามารถปลดปล่อย “ท่าต่อสู้ขั้นสูง” หรือการลงแรงอย่างเหนือธรรมชาติ ในระยะเวลาอันสั้น เช่น ท่าฟันที่ผ่าเกราะหนา หรือการพุ่งทะลุกำแพง ถือว่าเป็นการเหนี่ยวนำ พลังเวทมนตร์บางส่วนมาเพื่อเสริมแรงกาย ซึ่งการกระทำเหล่านี้ไม่ต่างจากการร่ายเวทนัก นี่คือสิ่งที่ถูกจำแนกในเชิงวิชาการว่า “การเหนี่ยวนำพลังภายในผ่านช่องทางกายภาพ” ซึ่งใช้ MP เช่นกัน
ในระบบการประเมินแบบสมัยใหม่ การใช้พลังเหนือธรรมชาติ ของผู้ไม่ใช่จอมเวทจึงถูกจัดว่า ใช้ MP โดยอ้อม ผ่านทางท่าพิเศษ ความสามารถติดตัว ที่ฝึกฝนจนถึงระดับพลังเวทแฝง บ้างก็อาจจะถึงขั้นที่มีการแสดงคุณลักษณะบางอย่าง ของเวทมนตร์ธาตุต่างๆ ออกมาได้เลยทีเดียว และหากขาด MP การกระทำเหล่านี้ ก็ไม่สามารถสำเร็จผลได้ หรือส่งผลข้างเคียง เช่น ความเหนื่อยล้า การบาดเจ็บ หรือหมดสติได้
พลังแห่งวิญญาณ (Powers of Spirit)
สำหรับชาวอสุรา พลังเหนือธรรมชาติไม่ใช่สิ่งแปลกประหลาด หรือเป็นสิ่งที่ต้องเรียนรู้จากคัมภีร์ หากแต่เป็นกระแสตามธรรมชาติของจิต ซึ่งดำรงอยู่ในตัวสิ่งมีชีวิตทุกชนิด หรือแม้กระทั่งสิ่งที่ไร้ชีวิตก็ตาม การใช้พลังจึงเริ่มต้นจาก การเข้าถึงขอบเขตของจิตใจของตนเอง มากกว่าการจัดหมวดหมู่หรือท่องจำคาถา
แนวคิดพื้นฐานของชาวอสุราระบุว่า จิตคือประตู วิญญาณคือเส้นทาง และพลัง คือสิ่งที่ไหลผ่านระหว่างทั้งสอง เมื่อใดที่จิตสงบ แน่วแน่ และเชื่อมต่อกับแก่นของความเป็นจริง พลังจะหลั่งไหลออกมาราวสายน้ำ การฝึกฝนจึงมุ่งเน้นไปที่การกำจัดม่านแห่งอัตตา ความกลัว ความลังเล และการยึดติดกับรูปลักษณ์ เพื่อให้จิตเปิดรับเสียงกระซิบของสิ่งที่ไม่อาจมองเห็น
ผู้ฝึกสายอสุรามักสื่อสารกับ จิตวิญญาณของสถานที่, สรรพชีวิต, หรือแม้แต่ อดีตชาติของตนเอง เพื่อปลุกพลังบางอย่างขึ้นมาในชั่วขณะ การใช้เวทจึงไม่ใช่ การออกคำสั่งต่อธรรมชาติ แต่เป็นการเชื่อมตนเองให้เข้ากับสภาวะบางอย่าง บางครั้งด้วยท่วงท่า บางครั้งด้วยเสียง หรือแม้แต่การนิ่งเงียบ แล้วปล่อยให้ความจริงดำเนินไปเอง

เวทมนตร์ในสายตาของอสุรา จึงไม่แยกจากการฝึกจิต วัฒนธรรมการฝึกตนของพวกเขา และความรับผิดชอบของผู้ใช้ เมื่อพลังมากขึ้น ผู้ใช้งานจำต้องตระหนักรู้ และมีสติมากขึ้นด้วย ซึ่งแตกต่างจากความเข้าใจ และวัฒนธรรมของจักรวรรดิเป็นอย่างมาก