เนื้อเรื่อง

บันทึกเรื่องราวอสุรา: คำพยากรณ์ของยุพิน

บันทึกเรื่องราวอสุรา: คำพยากรณ์ของยุพิน

ขึ้นสี่ค่ำ เดือนอ้าย มิตรศักราชที่ห้า

“ดวงอาทิตย์ที่ลับฟ้าจะถูกย้อมด้วยบาป เทวตำนานหวนคืน มารทั้งเจ็ดจักตื่นตามบัญชา ดินแดนหลวงจักสูญสิ้นผืนโลกา เฉลิมโศกแด่ราชาผู้ปกครอง ดวงจันทร์จะสาดส่องสู่กำแพงสูง จงภาวนาแด่มารดาแห่งปฐมกาลผู้สรรสร้างสรรพสิ่ง มารดานั้นเพียงหลับใหลใต้ชะตากรรม ดาวเคราะห์สีครามที่ถวิลหาจะหายไป”

วันนี้ ขณะข้าหลับตาเข้าสมาธิใต้เสาหิน จิตของข้ากลับสั่นไหวจนแทบมิอาจควบคุมได้ ครั้งนี้มันมิได้ปรากฏเป็นภาพฝันเหมือนครั้งก่อน ๆ หากแต่เป็นเสียงที่ฝังอยู่ในกระแสแห่งชะตา และถ้อยคำเหล่านี้ก็หลั่งไหลเข้ามาในจิตของข้า…

“ดวงอาทิตย์ที่ลับฟ้าจะถูกย้อมด้วยบาป เทวตำนานหวนคืน มารทั้งเจ็ดจักตื่นตามบัญชา” ข้อความนี้กล่าวถึงกาลเวลา หรือสิ่งบอกเหตุ แต่ “ดวงอาทิตย์ที่ถูกย้อมด้วยบาป” หมายถึงสิ่งใดกันแน่? ข้าคิดว่ามันคือสัญลักษณ์แห่งแสงสว่างที่ถูกกลืนกิน หรือบิดเบี้ยวไปส่วน “เทวตำนาน” และ “มารทั้งเจ็ด” ดูจะกล่าวถึงตัวตนที่เหนือเกินกว่าความเข้าใจของมนุษย์ผู้ซึ่งกำลังจะกลับมา... หรือกำลังจะตื่นขึ้นจากการหลับใหล

“ดินแดนหลวงจักสูญสิ้นผืนโลกา เฉลิมโศกแด่ราชาผู้ปกครอง” ชื่อของราชามิได้ถูกเอ่ย แต่คำว่า เฉลิมโศก ทำให้ข้าหนาวสั่น คำทำนายนี้อาจหมายถึงกษัตริย์ของเรา... ท่านกวิน หรืออาจหมายถึงราชาแห่งพวกมนุษย์ ข้าไม่อาจรู้ได้ แต่แน่ล่ะ สิ่งที่กำลังจะเกิดนั้นต้องเป็นความโศกแห่งผู้มีอำนาจ

“ดวงจันทร์จะสาดส่องสู่กำแพงสูง จงภาวนาแด่มารดาแห่งปฐมกาลผู้สรรสร้างสรรพสิ่ง” ดวงจันทร์... กำแพงสูง... ข้ายังไม่แน่ใจว่ามีนัยยะใดแฝงอยู่ แต่มารดาแห่งปฐมกาลนั้น อาจหมายถึงเทพเทวา หรือตัวตนผู้ให้กำเนิดในตำนานของจักรวรรดิ หรืออาจเป็นสิ่งอื่นที่ยิ่งใหญ่กว่านั้นก็เป็นได้

“มารดานั้นเพียงหลับใหลใต้ชะตากรรม ดาวเคราะห์สีครามที่ถวิลหาจะหายไป” บางทีสิ่งที่ข้าเห็นอาจเป็นการเตือน ว่าการหลับใหลนั้นใกล้ถึงจุดสิ้นสุด ถ้อยคำสุดท้ายราวคมมีดกรีดหัวใจ ข้าไม่รู้ว่ามันหมายถึงโลก... หรือผู้คนในนั้น แต่ข้ารู้เพียงว่า สิ่งที่กำลังจะมานั้นจักพรากสิ่งที่เรารักไปอย่างแน่แท้

ข้าอยากบอกเรื่องนี้แก่แก้วมณี แต่ใจกลับสั่นไหวเกินกว่าจะเอ่ยออกมา คำทำนายนี้ไม่เหมือนครั้งก่อน ๆ มันเย็นชา หนักอึ้ง และมีบางสิ่งในนั้น... จ้องกลับมาหาข้า ทุกครั้งที่ข้าหลับตา เสียงนั้นยังคงก้องอยู่ในหู ราวกับข้าเป็นเพียงทางผ่านของพลัง ที่ต้องการให้ข้ารับรู้ถึงคำทำนายนี้

ข้าไม่รู้เลยว่าควรเชื่อสิ่งใดในนั้นหรือไม่ คำทำนายดูยิ่งใหญ่เกินกว่าที่ข้าจะเข้าใจ และหากข้าสื่อสารผิดพลาดไป เพียงคำหนึ่งจากปากข้า อาจนำหายนะมาสู่ผู้คนความสงบ สันติภาพ และมิตรภาพที่เรากับมนุษย์ร่วมกันสร้างมา อาจจบสิ้นลงเพราะความแคลงใจและความหวาดระแวง

แต่หากข้าเลือกเงียบ แล้วสิ่งที่เห็นกลับเป็นจริงเล่า? ข้ากลัวทั้งสองทาง กลัวพลังที่ไหลเวียนอยู่ในตนเอง และกลัวว่ามันอาจไม่เพียงพอที่จะหยุดยั้ง หรือเปลี่ยนแปลงสิ่งใดได้เลย

ในแววตาของผู้คน ข้ายังคงเป็น “ยุพินผู้พยากรณ์” แต่ในหัวใจของข้า... ข้ากลับไม่แน่ใจเลยว่าตนยังเป็น “ยุพิน” คนเดิมอยู่หรือไม่

คืนนี้... ข้าคงหลับไม่ลงอีกแล้ว

ยุพิน บุตรีแห่งหลวงสิงหนาถ

แม่นางยุพิน

ข้าสังเกตเห็นมาพักหนึ่งแล้ว ว่าไม่กี่วันมานี้ยุพินเปลี่ยนไป… แววตาของนางมิได้สดใสดังเดิม แต่ข้าก็มิอาจถามได้ตรง ๆ เพราะรู้ดีว่าเรื่องที่นักพยากรณ์เลือกจะพูดออกมา มิใช่สิ่งที่พูดเล่นได้

ในยามที่เราฝึกวิชาร่วมกัน ข้าเคยเห็นนางหลับตาแล้วสะดุ้งเหมือนถูกสิ่งใดกระทบ เสียงพร่ำรำพันของนางแผ่วเบาแต่ทรงพลังนัก ข้ารู้ทันทีว่านั่นไม่ใช่เสียงของยุพิน หากเป็นเสียงของ “โชคชะตา” ที่กำลังผ่านออกมาทางร่างของนาง

ข้าพยายามเข้าไปช่วยปลอบ แต่ยุพินเพียงยิ้มบาง ๆ แล้วหลบตาไป ข้าเข้าใจดีว่า นางมิอยากให้ผู้ใดกังวล ทว่าในฐานะเพื่อน ข้าจะไม่ปล่อยให้นางต้องรับมันไว้เพียงลำพัง

พรุ่งนี้ ข้าจะนำเรื่องนี้ไปกราบเรียนเหล่าผู้อาวุโส ไม่ว่าคำพยากรณ์นั้นหมายถึงสิ่งใด ข้าก็เชื่อว่านางไม่ควรต้องเผชิญมันคนเดียว และหากชะตากรรมนี้จะ สั่นสะเทือนสองเผ่าพันธุ์จริง ๆ พวกเราควรรู้ ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป

แก้วมณี

แม่นางแก้วมณี

ขึ้นเจ็ดค่ำ เดือนอ้าย มิตรศักราชที่ห้า

วันนี้เป็นวันที่ข้ารู้สึกหนักอึ้งในหัวใจยิ่งนัก ยุพินและแก้วมณี ศิษย์ทั้งสองที่ข้าเฝ้าดูการเติบโตมาตั้งแต่น้อย ได้เดินทางมาหาข้า พร้อมข่าวที่ไม่อาจเพิกเฉยได้อีกต่อไป คำพยากรณ์ที่ยุพินกล่าวออกมาในห้องโถงของสมาคมนั้น… มิได้เป็นเพียงเสียงลางร้ายธรรมดา คลื่นมนตราที่แผ่ออกมารอบตัวนางขณะเอ่ยถ้อยคำ ทำให้ผลึกพลังในห้องถึงกับสั่นสะเทือน ราวกับโลกทั้งใบกำลังรับรู้สิ่งเดียวกันกับนาง

ข้าได้แต่เฝ้ามองและนิ่งเงียบ เพราะรู้ดีว่า พลังเช่นนี้หาได้เกิดจากมนุษย์หรืออสุราผู้ใดฝึกฝนมาได้เอง มันคือสิ่งที่เลือกผู้ถือครอง และยุพินได้ถูกเลือกไปเมื่อนานมาแล้ว

เมื่อหารือกับเหล่าผู้อาวุโส ทุกท่านต่างลงความเห็นตรงกันว่า คำทำนายนี้มีพลังสะเทือน ถึงสมดุลระหว่างเผ่าพันธุ์ ทั้งมนุษย์และอสุรา เพราะบางวรรคในถ้อยคำกล่าวถึง “ราชาผู้ปกครอง” และ “ดวงจันทร์เหนือกำแพงสูง” สัญลักษณ์ที่อาจชี้ถึงชะตากรรมของโลกทั้งสองเผ่าพันธุ์ร่วมกัน

หลังจากการประชุมจบลง ข้าได้ใช้เวลานานอยู่ในห้องโถงเพียงลำพัง ไตร่ตรองถึงสิ่งที่ควรทำต่อไป คำพยากรณ์ที่ออกจากปากของยุพินนั้น มิอาจเก็บเงียบไว้ได้ตลอดกาล หากแต่ก็ไม่อาจแพร่ไปอย่างไร้ขอบเขตเช่นกัน เพราะเมื่อใดที่ความกลัวเข้าครอบงำผู้คน สิ่งนั้นจะเติบโตเร็วกว่าความจริงเสมอ

ข้าได้ข้อสรุปว่า เรื่องนี้จำต้องมีสองฝ่ายที่ได้รับรู้ ฝ่ายแรกคือราชสำนัก ซึ่งมีอำนาจควบคุมการตัดสินใจของอาณาจักร หากมีสิ่งใดสั่นคลอนสมดุล พวกเขาควรรู้เพื่อเตรียมการ ฝ่ายที่สองคือเหล่านักรบแห่งวิหารอสุรา เพราะพวกเขาคือผู้รักษาขอบเขตของเผ่าพันธุ์เรา หากหายนะใดกำลังจะมาถึง พวกเขาจะเป็นแนวหน้าในการรับมือ

ข้าจึงได้ส่งสาส์นอย่างเป็นทางการไปยังราชสำนัก พร้อมรหัสตราชาด เพื่อให้ข่าวนี้เข้าถึงองค์ราชาโดยตรง และมั่นใจได้ว่าไม่มีผู้ใดแปลงสาส์นของข้า ส่วนยุพินและแก้วมณี ข้าได้มอบหมายให้พวกนางเป็นทูตแทนข้า เดินทางไปยังวิหารนักรบ เพื่อแจ้งสารนี้แก่ท่านจาและเหล่าทหารกล้าของเราชาวอสุรา

ข้าเองก็รู้ดี… พลังพยากรณ์นั้นอันตรายยิ่งกว่ามนตราใด เพราะมันมิได้บอกสิ่งที่เราต้องการรู้ แต่บังคับให้เราเห็นในสิ่งที่ไม่อาจหลีกเลี่ยง ข้าไม่อยากให้ศิษย์ของข้ากลายเป็นเพียง “ปากของโชคชะตา” ที่ต้องกล่าวสิ่งซึ่งตนเองก็ไม่เข้าใจนัก แต่ในขณะเดียวกัน หากคำทำนายนั้นเป็นจริงขึ้นมา การเพิกเฉยก็เท่ากับผลักเราเข้าสู่หายนะโดยสมัครใจเอง...

ราเชน แห่งสมาคมผู้ใช้มนตรา

ท่านราเชน ผู้นำสภาสมาคมผู้ใช้มนตราแห่งอสุรา

ขึ้นเก้าค่ำ เดือนอ้าย มิตรศักราชที่ห้า

วันนี้ ข้าได้รับแขกที่ไม่ได้คาดคิด แม่หญิงยุพิน และแม่หญิงแก้วมณี ทั้งสองเดินทางมา โดยมีสารของท่านราเชน นำเรื่องคำพยากรณ์มาบอกแก่พวกเรา เห็นได้ชัดว่านางทั้งสองตระหนกกับสิ่งที่อยู่ในคำของพยากรณ์นั้น... หากเป็นจริงแม้เพียงครึ่งเดียว โลกของเราคงไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

ข้าได้เรียกประชุมเหล่าผู้นำนักรบทันทีที่รับฟังถ้อยคำนั้น เนื้อความของคำทำนายมีส่วนกล่าวถึง “ราชาผู้ปกครอง” และ “ดินแดนหลวง” สัญลักษณ์ที่สะเทือนต่อหัวใจของอสุรา ผู้จงรักภักดีต่อพระราชาอย่างพวกเรา หากสิ่งนี้คือคำเตือนจากชะตา การนิ่งเฉยย่อมไม่ใช่หนทาง

เราตกลงกันว่าจะยังไม่แพร่ข่าวออกไปให้ถึงคนทั่วไป เพื่อหลีกเลี่ยงความหวาดกลัว และความสับสนในหมู่ชน แต่จะเริ่มเตรียมกำลังอย่างเงียบ ๆ และส่งหน่วยลาดตระเวน ออกตรวจแนวชายแดน รวมถึงด่านเชื่อมระหว่างดินแดนมนุษย์กับอสุรา

ในเวลาใกล้เคียงกันนั้นเอง ข่าวจากราชสำนักแจ้งมาว่า พระราชากวินทรงมีพระบัญชาเรียก สหายดำ ผู้ที่ถูกสั่งให้พักจากหน้าที่นักรบ ให้กลับมารับภารกิจอีกครั้ง ข้าเองก็ยังไม่แน่ใจ ว่าพระองค์ทรงล่วงรู้เรื่องคำพยากรณ์แล้วหรือไม่ แต่ช่วงเวลาที่ทั้งสองเหตุการณ์เกิดขึ้น เกือบพร้อมกัน ก็ทำให้ข้าอดคิดไม่ได้ว่ามันคงมิใช่เรื่องบังเอิญ

ข้าได้กำชับเหล่าทหารในวิหาร ให้เตรียมพร้อมโดยมิให้เปิดเผย เป้าหมายในยามนี้ไม่ใช่การรบ แต่คือการเฝ้ามอง รอ และป้องกันภัยที่อาจมาโดยไม่รู้ตัว

ยิ่งข้ามองไปยังฟ้า ยิ่งรู้สึกว่าความสงบในยามนี้… คงจะเป็นสัญญาณของพายุที่กำลังจะมา

ขุนจา เจ้าวิหารนักรบอสุรา

ท่านขุนจา เจ้าวิหารนักรบอสุรา

แรมหนึ่งค่ำ เดือนอ้าย มิตรศักราชที่ห้า

ข้ายังจำสีหน้าและน้ำเสียงของท่านราเชนได้ดีนัก เคร่งขรึมแต่แฝงความอาทรอยู่ในแววตา วันนี้ท่านมอบหมายภารกิจอันยิ่งใหญ่ให้ข้าและยุพิน ให้เดินทางไปยังดินแดนของมนุษย์ เพื่อแจ้งข่าวคำพยากรณ์แก่ผู้นำของพวกเขา แม้จะดูเป็นหน้าที่ที่ควรภาคภูมิใจ แต่ในใจข้ากลับรู้สึกหนักอึ้งกว่าครั้งใด

ยุพินดูสงบนิ่งในคราแรกที่ได้ยินคำสั่งนั้น แต่ข้ารู้ดี… ว่านางมิได้สงบอย่างที่เห็น ตั้งแต่วันที่นางกล่าวคำพยากรณ์ในห้องโถงนั้น แววตาของนางก็เปลี่ยนไป เหมือนผู้ที่ต้องแบกภาระที่เกินกว่าผู้ใดจะเข้าใจ ข้าอยากปลอบนาง แต่ก็ไม่รู้จะเอ่ยคำใดดี เพราะข้าเองก็กลัวเช่นกัน ข้าไม่ใช่นักรบอย่างอ้ายดำ มิได้แข็งแกร่งอย่างยุพิน หรือเชี่ยวชาญมนตราดังเหล่าผู้ใช้เวท แต่เพราะข้าเคยผ่านเหตุการณ์เมื่อห้าปีก่อน จึงถูกวางตัวให้เป็น “ผู้แทนแห่งไมตรี” กับจักรวรรดิของมนุษย์ ข้ารู้ดีว่า เหตุผลแท้จริงที่ข้าได้ออกเดินทางครั้งนี้... อาจไม่ใช่เพราะข้ามีความสามารถ หากแต่เพราะข้าเป็นผู้เดียวที่ไว้ใจได้ในการติดต่อกับมนุษย์ ในสายตาของผู้อาวุโส นั่นคงเพียงพอแล้วที่จะฝากภารกิจสำคัญเช่นนี้ไว้ให้

การเดินทางไปยังดินแดนมนุษย์ย่อมไม่ง่าย เราเพิ่งสานสัมพันธ์กันได้ไม่นาน หลังสงครามพสุธานองเลือด บาดแผลยังคงอยู่ในใจของหลายคน ทั้งอสุราและมนุษย์ หากข่าวคำพยากรณ์นี้ไปถึงผิดหู หรือถูกเข้าใจคลาดเคลื่อน อาจกลายเป็นประกายแห่งสงครามครั้งใหม่ได้อีก

ข้าภาวนาให้ยุพินมีแรงพอที่จะควบคุมพลังนั้น และให้ข้ามีสติพอที่จะยืนอยู่ข้างนางได้โดยไม่ถอยหนี หากโชคชะตากำหนดให้พวกเราสองต้องเป็น “ผู้ส่งสารของหายนะ” ข้าก็หวังว่าเราจะยังรักษาความหวังเล็กๆ นั้นไว้ได้ 

ความหวังที่ว่า แม้ความมืดจะคืบคลานมาอีกครั้ง แสงจากมิตรภาพระหว่างสองเผ่าพันธุ์… จะยังไม่ดับสูญไป

แก้วมณี