เนื้อเรื่อง
บันทึกเรื่องราวอสุรา: ภารกิจของลุงดำ
ขึ้นสิบค่ำ เดือนอ้าย มิตรศักราชที่ห้า
ข้าไม่คิดเลยว่าเสียงเคาะประตูในเช้าวันนี้ จะเปลี่ยนชีวิตที่ข้าเฝ้าหวังจะสงบไปตลอดกาล เมื่อเห็นเครื่องหมายตราราชาในมือของทหารผู้นำสาส์นข้าก็รู้ได้ทันทีว่า ความสงบที่ข้าพยายามไขว่คว้ามาตลอดห้าปี… ได้จบลงแล้ว
ข้ายังจำได้ดีถึงวันที่ได้รับคำสั่งพักราชการ หลังจากเหตุการณ์ที่เพื่อนร่วมกลุ่มของข้าทั้งหมด ต้องสังเวยชีวิตจากภารกิจนั้น ความผิดพลาดครั้งนั้นมันฝังอยู่ในอกไม่เคยจาง พวกเขาตายเพราะการตัดสินใจของข้า เพราะข้าเชื่อในสิ่งที่ไม่ควรเชื่อ กล้าในเวลาที่ควรหนี และทำให้ให้ศัตรูของเราบรรลุเป้าหมาย “จัน” ศัตรูของเผ่าพันธุ์อสุราและอาจจะโลกทั้งใบ
บัดนี้องค์กวินมีบัญชาเรียกข้ากลับมาอีกครั้ง ภารกิจใหม่… หรืออาจจะเป็นโอกาสชดใช้ความผิดเดิม ข้าไม่แน่ใจ พระองค์ไม่ได้ตรัสเอง แต่สาส์นของท่านขุนจาชัดเจนพอ
“เจ้าคือผู้ที่รู้จักเป้าหมายนี้ดีที่สุด และเจ้าคือผู้เดียวที่ยังมีชีวิตอยู่จากวันนั้น”
ข้ารู้ดีว่าคำสั่งนี้หมายถึงอะไร การกลับไปตามล่า “จัน” อีกครั้งนั่นเอง ข้าหัวเราะในใจตอนอ่านสาส์นนั้น มันช่างเหมาะนัก… เหมาะกับคนที่ไม่มีอะไรจะเสียอย่างข้า หากนี่คือทางสุดท้ายที่ข้าจะชดใช้ให้กับวิญญาณของพวกพ้องที่ดับสิ้น ข้าก็พร้อมจะเดินไป แม้ต้องแลกด้วยชีวิตก็ตาม
ก่อนออกเดินทาง ข้าได้พบกับแก้วมณี นางมองข้าด้วยแววตาเศร้าและเป็นห่วง ข้ายิ้มตอบให้เหมือนคนไม่คิดอะไร แต่ในใจลึก ๆ ข้ารู้ว่านางเข้าใจดี ว่าข้าอาจไม่มีวันกลับมา นางกล่าวเพียงว่า “อย่าแบกทุกอย่างไว้คนเดียวอีกเลยนะ อ้ายดำ”
ข้าไม่ได้ตอบ เพราะรู้ว่าหากเอ่ยอะไรออกไป เสียงในใจคงสั่นเกินกว่าจะยืนหยัดได้ ข้ากลัว… กลัวว่าหากพูดแม้แต่คำเดียว ข้าจะเปลี่ยนใจ ไม่กลับไปทำหน้าที่นี้อีก
ข้าจึงเลือกความเงียบ และก้าวเท้าออกจากวิหาร ไม่ใช่ในฐานะนักรบแห่งอสุราผู้ภาคภูมิ แต่ในฐานะชายคนหนึ่ง ที่ต้องการชดใช้บาปที่ก่อไว้ ด้วยชีวิตที่เหลืออยู่เท่านั้น
ดำ

ขึ้นสิบเอ็ดค่ำ เดือนอ้าย มิตรศักราชที่ห้า
วันนี้ข้าออกเดินทางจากวิหารแต่เช้าตรู่ จุดหมายแรกคือหมู่บ้านบางกระท่อม จุดรวมของเหล่าอสุราฝึกหัด และผู้เตรียมเข้าสู่ช่วงฝึกฝนตามธรรมเนียมของเรา ข้าไม่คิดว่าจะต้องกลับมาที่นี่ก่อนจะออกไปทำภารกิจ เพราะทุกครั้งที่เห็นหมู่บ้านนี้ ข้าจะนึกถึงตอนที่ยังเยาว์วัย เต็มไปด้วยความฝันและความกล้า ที่ตอนนี้กลายเป็นบาดแผลในใจ
ข้าคิดว่าภารกิจนี้จะเป็นการเดินทางลำพัง เหมือนที่ควรจะเป็น แต่เมื่อไปถึง ผู้ใหญ่บ้านกลับเตรียม ผู้ติดตามให้ข้า อสุราฝึกหัดวัยเพียงไม่นาน ที่ยังไม่เคยสัมผัสกลิ่นเลือดของสงครามมาก่อน ข้าถามผู้ใหญ่บ้านตรง ๆ ว่า “นี่ท่านล้อข้าเล่นหรือไม่?” แต่เขากลับตอบเพียงว่า “คำสั่งจากกษัตริย์ ข้าไม่มีสิทธิ์เปลี่ยนแปลง หรือโต้แย้งหรอก ไอ้ดำ”
ข้าได้แต่หัวเราะในลำคอ เด็กตัวเท่านี้จะไปรู้รสของสงครามได้อย่างไร ภารกิจที่ข้ากำลังจะไป มันไม่ใช่สนามฝึก แต่มันคือหลุมศพที่ขุดไว้แล้ว รอเพียงจะกลบหน้าตัวเอง ข้าไม่ต้องการให้ใครมาเป็นภาระ หรือแย่กว่านั้นตายเพราะเดินตามข้า ข้าจึงตัดสินใจอย่างหนึ่ง ถ้าเด็กนี่จะติดตามข้ามาจริง ก็ต้องผ่านนรกให้ได้แบบข้าก่อน ข้าจะฝึกให้จนแทบคลานไม่ไหว จะได้หนีไปเสียก่อนถึงจุดที่ข้าไม่อาจหันหลังกลับได้อีก
ไม่มีใครควรต้องตายเพราะข้าอีกแล้ว
ข้ามองเด็กคนนั้นครั้งสุดท้ายก่อนออกเดินทาง ดวงตาเต็มไปด้วยไฟที่ข้าเองก็เคยมีในวันวาน มันทำให้ข้าอดรู้สึกหน่วงในใจไม่ได้ ไฟแบบนั้น เคยเผาผลาญเพื่อนข้าทั้งหมดมาแล้ว ในภารกิจเมื่อห้าปีก่อน บางทีการมีเด็กคนนี้มาด้วย… ก็อาจเป็นการลงทัณฑ์จากฟ้า ให้ข้าได้เห็นซ้ำอีกครั้ง ว่าความเชื่อมั่นที่บริสุทธิ์นั้น เปราะบางเพียงใด ในโลกที่เต็มไปด้วยเลือดและเถ้าถ่าน
ข้าจะเริ่มการฝึกพรุ่งนี้เช้า และข้าสาบานกับตนเองว่า จะทำให้เด็กนั่นหนีไปให้ได้ ก่อนที่มันจะต้องตาย เพราะตามข้ามาเหมือนคนอื่น ๆ อีกคน
ดำ
ขึ้นสิบห้าค่ำ เดือนอ้าย มิตรศักราชที่ห้า
สามวันแล้วนับจากเริ่มการฝึก ข้าไม่เคยเห็นเด็กคนไหนอึดได้เท่านี้มาก่อน วันแรก ๆ มันก็บ่นจุกจิกอยู่หรอก แต่พอวันนี้ตั้งแต่เช้าจนค่ำ กลับไม่ปริปากเลย ไม่ว่าข้าจะให้ทำอะไร ไร้สาระหรือยากเย็นเพียงใดมันก็ทำหมด เอาเข้าจริง… ข้าเองก็เริ่มสนุกอยู่เหมือนกัน แล้วก็ถือว่ามีประโยชน์ดี อย่างน้อยข้าก็ไม่ต้องเก็บฟืน ตักน้ำ หรือหาอาหารเองอีก แค่สั่งแล้วนั่งดูมันทำก็พอ ข้าชักจะเข้าใจพวกครูฝึกนักรบที่ข้าเคยเกลียดสมัยหนุ่ม ๆ เสียแล้วสิ
คืนนี้อากาศเย็น พระจันทร์เต็มดวง แสงเงินสะท้อนบนผิวหินราวกับมีดเย็นเฉียบ ข้านั่งมองไกลออกไปในความมืด เด็กนั่นยังคงพิงก้อนหินอยู่เงียบ ๆ ไม่หลับ ไม่ลุก มือยังจับอาวุธไว้แน่น เหมือนกลัวว่าจะถูกสั่งให้ลุกขึ้นอีก ข้าเห็นแล้วก็ถอนใจ บางทีข้าอาจจะโหดไปจริง ๆ
ข้าเรียกมันมานั่งข้างกองไฟ แล้วลองหยั่งเชิงดูว่าจะหนีไหม แต่ดูเหมือนคำตอบจะเป็น “ไม่” มันจ้องมาที่ข้าเหมือนคนที่ตัดสินใจแน่วแน่ไปแล้ว ข้าจึงยอมบอกมันไปตรง ๆ ภารกิจของเราครั้งนี้ ไม่ใช่การฝึก ไม่ใช่การลาดตระเวน หรือปกป้องหมู่บ้านอย่างที่มันคิด แต่คือการไล่ตามอาชญากรตนหนึ่ง
เด็กนั่นเงียบ ไม่ถามซ้ำ มีเพียงสายตาที่แน่วแน่ ข้าเลยพูดต่ออย่างเย็นชา พยายามขู่ถึงอันตรายของ “จัน” ถึงอดีตที่ข้าเคยพ่ายแพ้หมดรูป และรอดตายมาเพียงคนเดียวจากกลุ่ม ที่ออกตามล่ามันในวันนั้น ข้าหวังจะเห็นความกลัวในแววตา แต่กลับไม่มี มีเพียงไฟที่เผาแรงขึ้นกว่าเดิม ราวกับคำเตือนของข้าได้เติมเชื้อเพลิงให้มันเสียอีก
ก่อนแยกย้ายเข้านอน ข้าตั้งใจแล้วว่าเส้นทางต่อจากนี้จะไม่มีความเมตตาอีกต่อไป การฝึกหนักที่ผ่านมายังไม่พอ จากนี้จนถึงหมู่บ้านฟรอนเทียร์ ข้าจะเพิ่มความเข้มข้นสิบเท่า วิชาฝึกจะกลายเป็นการทดสอบชีวิตจริง เพื่อให้เห็นว่าเด็กผู้นี้จริงจังเพียงใด และเพื่อให้ข้าเองรู้ว่า หากสุดท้ายต้องเหลือเพียงผู้ใดผู้หนึ่งอยู่ ผู้ใดคนนั้นจะเป็นผู้เหมาะสมพอ ที่จะยืนหยัดต่อสู้กับเงาที่กำลังก่อตัวขึ้นในความมืดหรือไม่
ดำ
แรมสี่ค่ำ เดือนอ้าย มิตรศักราชที่ห้า
เรามาถึงหมู่บ้านฟรอนเทียร์ตั้งแต่ย่ำเที่ยง ดินแดนนี้ยังเหมือนเดิมทุกอย่าง เงียบ เรียบง่าย แต่มีชีวิตของผู้คนขับเคลื่อนอยู่ใต้ความสงบ ถึงแม้ว่าจะมีบรรยากาศแปลก และความตึงเครียด ผิดกับคราวที่แล้วพอตัว
ข้าเคยแวะมาที่นี่หลายครั้งในช่วงถูกสั่งให้พัก จนกลายเป็นเหมือนบ้านหลังที่สองของข้าไปแล้ว ตอนนี้เจ้าฟรีสต์ มนุษย์ที่ข้ารู้จัก ก็ขึ้นเป็นหัวหน้าหมู่บ้านอย่างเต็มตัว เขายังดูหนุ่มแน่นกว่าที่จำได้ สายตาเฉียบเหมือนเดิม แต่จริงๆ อาจจะกลับกัน ข้าอาจจะแก่ลงไปเองก็ได้ เขาทักข้าด้วยรอยยิ้ม แล้วถามว่า “กลับมาเป็นทางการอีกครั้งสินะ ดำ” ข้าได้แต่หัวเราะสั้น ๆ ไม่อยากอธิบายว่า ภารกิจนี้ต่างจากการพเนจรมาเองแบบครั้งอื่นๆ
ดูเหมือนว่าเบาะแสของจันจากที่นี่จะไม่ได้ชัดเจนนัก แต่ก็มีเรื่องน่าสงสัยอื่นๆ มากมาย ไม่ว่าจะการหายตัวไปอย่างลึกลับของชาวบ้าน และการล่าช้าของกองกำลังจากจักรวรรดิมนุษย์ ที่จะเข้ามาช่วยเหลือ ข้าไม่แน่ใจว่าเรื่องเหล่านี้เกี่ยวข้องกับจันทร์โดยตรงหรือไม่ แต่ก็อาจจะต้องลองสืบหาข้อมูลเพิ่มเติมดู
ในขณะที่ข้ากำลังคุยกับฟรีสต์ และหาข้อมูลเบาะแสของจันอยู่ ไอ้หนูที่ติดตามมาด้วย กลับเดินหายไปในหมู่บ้าน ทั้งๆ ที่ข้ากำชับนักหนาไม่ให้ไปไหน พอข้าตามไปดูอีกที กลับเห็นมันกำลังช่วยหมอในหมู่บ้าน หาสมุนไพรหายาก มาช่วยรักษาโรคประหลาดได้ซะงั้น ข้าเห็นแววตาของฟรีสต์มองเด็กคนนั้น จนอดคิดไม่ได้ว่าสิ่งที่อยู่ในตัวมัน อาจจะไม่ใช่แค่ความกล้าอย่างเดียวก็ได้
ดำ
แรมห้าค่ำ เดือนอ้าย มิตรศักราชที่ห้า
ข้ายังจำภาพของหินที่ถล่มลงมาได้ชัดเจน มันไม่ใช่ดินที่เคลื่อนไหวตามธรรมชาติ แต่เป็นเสียงของกับดักที่วางไว้อย่างจงใจ เราพบซากกำลังเสริมจากจักรวรรดิ ในสภาพป่นปี้กลางหุบเขา ศพกระจัดกระจาย บางส่วนยังคงถูกฝังอยู่ใต้กองดิน ผู้รอดชีวิตมีไม่มากนัก
พวกเราเข้าไปในอุโมงค์พร้อมกับหน่วยของแองเจอเล่ ทหารจากจักรวรรดิ ที่แม้ภายนอกจะแสดงท่าทีห้าวหาญ แต่ในแววตาข้าก็ยังสังเกตได้ว่าเขามีความกังวลอยู่มาก แต่นั่นก็ถือเป็นข้อดี ความกลัวคือสิ่งที่ทำให้เรายังรอดชีวิตอยู่ถึงทุกวันนี้
ที่ตรงนั้น… มีรอยเล็บยาว และเศษหินที่ถูกขุดทะลุจากใต้พื้น มันไม่ใช่ดินถล่มธรรมดา แต่คือการโจมตีจากพวกคร็อกโคเดี้ยน เราตามรอยของพวกมันไปจนถึงปากอุโมงค์ ก่อนจะพบว่า แม้แต่อุโมงค์ที่นำทางเข้ามานี่ ก็เป็นกับดักที่พวกมันเตรียมไว้เพื่อล่อทหารที่เหลืออยู่ เข้ามาในแดนประหาร ศึกในนั้นกินเวลาหลายชั่วโมง ความมืดและควันฝุ่นบดบังทุกอย่าง เราสูญเสียคนไปมากเกินนับ
ข้าเห็นเลือดสาดกระเซ็นบนผนังหิน เสียงโซ่กระทบ และแสงเวทมนตราที่สว่างวาบในที่แคบ ทุกครั้งที่เห็นคนล้มลงต่อหน้า ข้ารู้สึกเหมือนภาพเดิมย้อนกลับมา เพื่อนข้าในวันนั้น เสียงร้องสุดท้ายของพวกเขา และจันที่หายไปในเงามืดพร้อมรอยยิ้มเย้ยหยัน แองเจอเล่บาดเจ็บแต่ยังยืนหยัดเอาไว้ได้ เจ้าหนูที่ตามมารอดมาได้ด้วยบาดแผลเต็มตัว ข้าไม่ควรพามันเข้ามาที่นี่ น่าจะให้มันรออยู่ที่หมู่บ้านก่อนจะออกมา
คืนนี้ข้านั่งอยู่หน้ากองไฟ ภายในอุโมงค์ที่ถูกปิดตาย ล้อมรอบด้วยพวกมนุษย์หนังจระเข้ในความมืด พวกมันยังไม่กล้าเข้ามาหากลุ่มผู้เหลือรอดโดยตรง เอาจริงๆ มันก้สุญเสียไปใช่น้อยเหมือนกัน เสียงลมพัดลอดเข้ามาจากปล่องที่แตกหัก เหมือนเสียงคร่ำครวญของผู้ตายทั้งสองฝ่าย
ข้ารู้สึกถึงวาระสุดท้ายในชีวิตที่กำลังเข้ามาใกล้ แต่เลือกที่จะไม่แสดงออกไป ในฐานะของนักรบแห่งอสุรา และในฐานะของผู้นำ แต่ความจริงกำลังมาถึง และเราทุกคนคงไม่มีทางหนีความจริงข้อนี้ไปได้ ไม่ว่าจะพยายามมากเพียงใด
ดำ